March 29, 2010

นมัสการรอยพระบาท ณ อุทยานแห่งชาติเขาคิชกูฏ จันทบรี


For travelling to the top of the mountain is away from the office located in Natural Forest Park of Khao Kitchagud about 15 km. You need to take four-wheel drive vehicles from the temple have arranged. The fare to go up and down is 200 baht. And after that you need to walk up to the top another 3 km.



เพื่อนชวนไปทำบุญกับหลวงพ่อ ที่ปฏิบัติธรรมในป่า จ จันทบุรี (ต่อ)

หลังจากเดินชมสถานที่ที่หลวงพ่อพำนักอาศัยอยู่แล้ว เป็นสถานที่สงบจริงๆ จากนั้นก็ได้ทานอาหารเช้ากันที่นั่น ช่วยหลวงพ่อเก็บล้างของให้ และช่วยกันหิ้วน้ำขึ้นมาให้หลวงพ่อไว้ใช้ เสร็จสรรพเป็นที่เรียบร้อย พวกเราก็เตรียมตัวลาหลวงพ่อกลับกัน หลวงพ่อสวดมนต์ให้พรพวกเรา แล้วจึงลาท่านกลับ

ตอนขาลงนี่ พวกเราก็เดินลงกันมาเองเพราะรถกะบะชาวบ้านที่มาส่งพวกเรานั้นเค้าไปไหนของเค้าแล้ว ซึ่งก็ไม่ได้ลำบากอะไรกับพวกเรามากนัก เพราะยังเป็นเวลาเช้า แดดไม่ร้อน แล้วยังเป็นป่าร่มไม้ ทำให้เดินกันลงมาสบายๆ

หนุ่มน้อยกำลังเล่นน้ำอยู่เพลิน พวกเราเรียกให้เด็กขึ้นมารับขนม,ผลไม้ และนม ที่เราขอหลวงพ่อ เพื่อจะนำมาให้เด็กนี่แหละ(เราเห็นเค้าเล่นน้ำอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว ตอนเราลงมาตักน้ำขึ้นไปให้หลวงพ่อ) เด็กกำลังเล่นน้ำสนุกๆเพลิน ต้องรีบวิ่งขึ้นมาใส่กางเกง เพราะเค้าแก้ผ้าเล่นน้ำ ว๊ายยยยย....
ส่วนตากล้องของเรามือไว เห็นเด็กโป๊ รีบงัดกล้องมากดชัตเตอร์ใหญ่เลย แถมมีการทำให้เบลอเพื่อเป็นการไม่น่าเกลียด ...ป้าบอก แกล้งเบลอซะงั้น อ่ะ....รู้น่ะป้าคิดไรอยู่


ภาพทิวทัศน์ เวลาที่พวกเราเดินลงกันมา อากาศยามเช้า ทั้งเย็นสบายและสวยงามจริงๆ ชีวิตในป่า มองแล้วช่างสวยงาม และสงบเงียบเสียจริงๆ ไม่ค่อยวุ่นวายเหมือนชีวิตในกรุงเทพ ไหนจะผู้คน ไหนจะยวดยานพาหนะ ขวักไขว่ไปหมด จนหาความสงบไม่ได้เลย อยากใช้ชีวิตปั้นปลายในที่ที่มีแต่ความสงบแบบป่า อย่างดี คงมีความสุขดีน่ะ

March 25, 2010

เพื่อนชวนไปทำบุญกับหลวงพ่อ ที่ปฏิบัติธรรมในป่า จ จันทบุรี

กลับเมืองไทยครั้งนี้ ที่แรกวางแผนกันว่าจะไปไหว้พระพุทธบาทเขาคิชกูฎ วางแผนกันนานมาก จนสุดท้ายสรุปว่าไม่ไปกัน เนื่องจากมีหลายสาเหตุ (แต่อย่าไปรู้เลยน่ะว่าสาเหตุอะไร)

มาถึงเมืองไทยวันพฤหัสตอนกลางคืน ก็เตรียมตัวว่าจะกลับบ้านชัยนาท วันศุกร์ตอนเช้า ยัยตา เพื่อนรักโทรมาชวนไปทำบุญกับหลวงพ่อเฉลิม ซึ่งปฏิบัติธรรมอยู่ในป่าบนเขา ใกล้น้ำตกพลิ้ว ก็อยากไปทำบุญเหมือนกัน ยิ่งทำบุญกับพระที่ปฎิบัติธรรมสายหลวงตาบัวแล้วด้วย ชื่นชอบค่ะ เลยตกปากรับคำกับเพื่อนว่าจะไปด้วย จากนั้นก็โทรไปหาป้าแดง เพื่อจะชวนป้าแดงไปด้วย เพราะการไปครั้งนี้ ยัยตาจะขับรถไปเอง แล้วมีเพื่อนอีกคนคือ ยัยหมอน ก็มีกันสามคนเอง ชวนเพิ่มอีกซักคนสองคนคงไม่แน่นรถ เลยรีบโทรหาป้าแดงเลย
บังเอิญป้าแดงก็เคลียร์คิวกะลุงไว้แล้ว เพราะคิดว่าจะไปเขาคิชกูฎกัน เสาร์-อาทิตย์นั้นพอดี คิวก็เลยว่าง ป้าก็บอก”ไปดิ” ก็ตกปากรับคำไปด้วยกัน โดยจะออกเดินทางกันในเช้าวันเสาร์ ตี 5 พอวางหูจากป้าแดงเสร็จ ก็โทรไปหาคุณนินจา เผื่อว่าจะว่าง จะได้ชวนไปด้วยกัน กดโทรฯ ตู๊ดดด.... “พี่หน่อยๆ จะไปจันทบุรีมั้ย” พี่หน่อย “อ้าวววไหนว่าไม่ไปแล้วงัย” “ไม่ใช่พี่ คนละที่กัน ที่จะไปนี่คือน้ำตกพลิ้ว พี่หน่อยจำหลวงพ่อที่ปวิตาเคยพูดให้ฟังมั้ย ที่พี่อยากไปน่ะ ปวิตาชวนไปทำบุญกัน" ....."ถ้าจะไปให้เตรียมตัว เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าแวะไปรับ" .....พี่หน่อยรีบรับปาก “ไปๆๆๆ อยากไปอยู่แล้ว” “งั้นเตรียมตัวรอน่ะพี่” เจอกันพรุ่งนี้


ไปรับพี่หน่อยตอนเช้า เด็กมายืนรอเปิดร้าน จะเล่นเกมส์ ป้าหน่อยรีบไล่เด็กที่มาเล่นเกมส์กลับบ้าน บอกเด็กว่า "วันนี้ปิดร้าน ป้าจะไปเที่ยว เอ้ยยย ไปทำบุญ" เด็กเดินร้องไห้กลับบ้าน แม่มันคงนึกว่าโดนเด็กที่ไหนซัดมาแหง๋มๆ แต่เด็กบอกป้าหน่อยปิดร้าน อดเล่นเกมส์ ....
รถที่เราขับกันไป ไม่สามารถขับขึ้นไปบนเขาที่หลวงพ่อท่านอยู่ได้ ตอนเราเอารถไปจอดที่ลานจอดรถของน้ำตกพลิ้ว แล้วหาซื้ออาหารที่นำไปถวายหลวงพ่อบนเขา


พอดีพวกเราพบหลวงพ่อกำลังบิณฑบาตอยู่แถวนั้นพอดี เจ๊ตาเลยเข้าไปกราบและเรียนท่านว่า พวกเราจะขึ้นไปถวายอาหารเช้าด้วย หลวงพ่อดูท่าทางจะดีใจ แถมยังอุตสาห์ไหว้วานให้ชาวบ้านแถวนั้น ขับรถกะบะพาพวกเราขึ้นมาบนเขา
รถกะบะส่งพวกเราได้ประมาณครึ่งทาง เพราะรถไม่สามารถเข้าไปได้อีกแล้ว พวกเราจึงลงเดินตามหลวงพ่อไปที่สำนักปฏิบัติธรรมข้างบน หลวงพ่อเดินนำหน้าลิ่วเลย เห็นไกลนั้นแหละค่ะ

ตรงนี้เป็นสะพานข้ามลำธารน้ำตก ที่พวกเราจะต้องเดินข้ามไปหาหลวงพ่อ ...และน้ำในลำธารนี้ ซึ่งมาจากน้ำตก จะไหลตลอดทั้งปี หลวงพ่อเองก็จะลงมาตักน้ำจากที่นี่ขึ้นไปใช้ที่สถานปฎิบัติธรรมของท่านทุกวัน

มาถึงจุดหมายปลายทาง ที่เล่นเอาพวกเราได้เหงื่อเหมือนกันน่ะเนี้ย แต่พวกเราเก่งค่ะ เดินแค่นี้จิ๊บจ้อย....เดินลิ้นห้อยกันมาเลย...
มาถึงก็จัดเตรียม ข้าวปลาอาหาร ผลไม้ น้ำดื่ม เพื่อที่จะได้ถวายหลวงพ่อฉันท์เช้า

ให้ผู้ใหญ่ที่อาวุโสกว่าในกลุ่มของเรา เป็นคนถวายอาหารให้หลวงพ่อ
ระหว่างรอหลวงพ่อฉันท์อาหารเช้า พวกเราขอก็อนุญาติหลวงพ่อ เดินชมวิวในบริเวณรอบสถานปฎิบัติธรรมของท่าน เป็นที่ร่มรื่น และสะอาดมาก หลวงพ่อบอกหลวงพ่อ เก็บกวาด ทุกวัน ไม่ทำให้รก ขยะหลวงพ่อก็จะเผา ไม่ทิ้งมั่ว 

ตรงนี้เป็นโรงครัวของหลวงพ่อ ซึ่งมีไว้สำหรับทำอาหาร (แต่ไม่ค่อยได้ททำบ่อยเพราะหลวงพ่อออกบิณฑบาตมา แล้วอีกอย่างหลวงพ่อฉันท์อาหารมื้อเดียว หลวงพ่อบอกเอาไวต้มน้ำไว้ดื่มกินเท่านั้น 

ที่นอนสำหรับหลวงพ่อ ที่ต่อให้ยกพื้นสูง เข้าใจว่าเพื่อป้องกันอันตรายจาก สัตว์ร้ายหรือสัตว์เลื้อยคลานต่างๆ ที่จะออกมาในเวลากลางคืน

ห้องน้ำ

รูปหินตั้งต่อกัน ดูแปลกตาดี ทิวทัศน์ก็สวย หลวงพ่อเล่าให้พวกเราฟังว่า ทีตรงนี้เป็นสวยยางของเอกชน (ขอโทษจำชื่อไม่ได้) ตอนแรกหลวงพ่อมาปักกด ตรงนี้ แล้วเห้นว่าเงียบสงบดี ต่อมาก็ได้น้ำพักน้ำแรงจากชาวบ้านบ้าง จากคนที่เคารพหลวงพ่อบ้าง นำปัจจับมาถวาย หลวงพ่อจึงสร้างที่อยู่ให้ดีขึ้นมาหน่อย แต่ก็ไม่ได้คิดจะสร้างเป็นวัดหรืออย่างไร
หลังจากหลวงพ่อฉันท์อาหารเช้าเสร็จ ถึงเวลาลูกศิษย์อย่างพวกเรามั่ง ด้วยความหิวนิดๆ อาหารที่หลวงพ่อบิณฑบาตรมาก็เยอะ แล้วยังที่พวกเราซื้อไปอีก มากมาย จน 5 คน กับอีก 2 ตัวกินไม่หมด จนต้องเอาไปให้เด็กชาวบ้านแถวนั้นบ้าง  

เดี๋ยวไปต่อตอนหน้ากันค่ะ

March 23, 2010

เขาชีจรรย์ สัตหีบ

เขาชีจรรย์
พระพุทธมหาวชิรอุตตโมภาสศาสดา เป็นพระพุทธรูปแกะสลักหน้าผาเขาชีจรรย์ ถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในวโรกาส ที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯมหาราชทรงครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี
ในปีพุทธศักราช 2539 ด้านหน้ามีลานอเนกประสงค์ มีการจัดสวนต้นไมไว้ได้อย่างสวยงาม สถานที่มองไปเป็นที่ราบเชิงเขา และเขาแกะสลัก รูปพระพุทธมหาวชิรอุตตโมภาสศาสดา ไว้ที่ผนังอย่างงดงามชัดเจน


              
เขาชีจรรย์ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 1/4 ตารางกิโลเมตร มีลักษณะสูงชันมากยอดเขาสูงที่สุดมีความสูง 248 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลประมาณ 180 เมตรจากระดับพื้นดิน ..เขา ชีจรรย์เป็นหินเนื้อปูนประกอบด้วยหินอ่อนแคลก์ซิลิเกต, รูปเลนส์, ขนาบด้วยหินฟิลไลต์, หินฉนวน และหินเมต้าเชิร์ต

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก เมื่อครั้งยังดำรงตำแหน่งเป็น สมเด็จพระญาณสังวร เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร ซึ่งทรงเสียดายเขาชีจรรย์ที่มีภูมิทัศน์ยิ่งใหญ่สง่างามตามธรรมชาติ แต่กำลังถูกระเบิดทำลายทุกวัน จึงทรงดำริที่จะอนุรักษ์เขาชีจรรย์ให้คงชื่ออยู่คู่กับเขาชีโอน ซึ่งมีส่วนหนึ่งอยู่ในเขตสังฆาวาสของวัดญาณสัง วรารามวรมหาวิหาร ด้วยการสร้างพระพุทธรูปแกะสลัก บนหน้าผาเขาชีจรรย์ ให้เป็นปูชนียสถานสำคัญทางพระพุทธ ศาสนาตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2527 ถึงพุทธศักราช 2533


พระพุทธรูปแกะสลักหน้าผาเขาชีจรรย์ .เป็นพระพุทธรูปประทับนั่งปางมารวิชัย เลียนแบบพระพุทธนวราชบพิตรศิลปะ สุโขทัยผสมล้านนา ขนาดความสูง 109 เมตรหน้าตักกว้าง 70 เมตรฐานบัวหรือบัวบัลลังค์สูง 21 เมตร รวมความสูง ขององค์พระและบัลลังค์ทั้งสิ้น 130 เมตร เป็นแบบนูนต่ำ
โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตพระราชทานนามพระพุทธรูปว่า "พระพุทธมหาวชิรอุตตโมภาสศาสดา" มีความหมายว่า พระพุทธเจ้าทรงเป็นศาสดาที่รุ่งเรืองสว่างประเสริฐ ดุจดังมหาวชิระ



ให้เข้าชมได้ตั้งแต่เวลา 06.00 น.- 18.00 น. การเยี่ยมชมควรแต่งกายด้วยความสุภาพ และปฎิบัติตาม ป้ายเตือนอย่างเคร่งครัด และงดเสียงดัง ควรระวังไม่เข้าใกล้องค์พระเกินกว่าที่กำหนดเพราะอาจเกิดอันตราย เนื่องจากจากหินที่อาจจะล่วงหล่นลงมาได้
สถานที่แห่งนี้จะอยู่ใกล้กับอเนกกุศลศาลาและวัดญาณสังวราราม ซึ่งสามารถเดินทาง ระหว่างสถานที่ได้อย่างสะดวก ซึ่งในปัจจุบันพระพุทธรูปแกะสลักหน้าผาเขาชีจรรย์ ...แห่งนี้มีผู้เข้ามาเยี่ยมชมและ แวะมาสักการะทั้งคนไทย และชาวต่างชาติ

ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.sattahiptour.com/

วัดญาณสังวราราม วรมหาวิหาร ชลบุรี

วัดญาณสังวราราม เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดวรมหาวิหาร ตั้งอยู่ที่บ้านห้วยใหญ่ ตำบลห้วยใหญ่ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ๒๐๒๖๐

สร้างขึ้นใน พ.ศ. ๒๕๑๙ นายแพทย์ขจร และคุณหญิงนิธิวดี อันตระการ พร้อมด้วยบุตรธิดา มีจิตศรัทธาบริจาคที่ดินจำนวน ๑๐๐ ไร่ ๑ งาน ๙๒ ตารางวา แด่ สมเด็จพระญาณสังวร เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร (ปัจจุบันทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราช ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๓๒ - ปัจจุบัน) เพื่อสร้างวัดในพระพุทธศาสนา และปรารถนาให้มีนามตามทินนามสมณศักดิ์ของสมเด็จฯ วัดนี้จึงมีชื่อว่า "วัดญาณสังวราราม"

เนื่องจากบริเวณพื้นที่สร้างวัดเป็นที่ราบเชิงเขาห่างจากถนนสุขุมวิทช่วงระหว่างบางละมุง-สัตหีบ โดยแยกเข้ามาจากถนนทางหลวงประมาณ ๕ กิโลเมตร ทางการจึงได้ทำการตัดถนนเข้ามาจนถึงวัดทำให้การเดินทางสะดวกขึ้น จึงได้มีการก่อสร้างปูชนียวัตถุสถานขึ้นตามลำดับ เช่น พระอุโบสถ, พระบรมธาตุเจดีย์มหาจักรีพิพัฒน์, พระมหามณฑป พระพุทธบาท ภปร. สก., ศาลาอเนกกุศลขนาดใหญ่สองหลัง สว.กว. (ศรีสังวาลย์กัลยาณิวัฒนา) และ มวก.สธ. (มหาวชิราลงกรณ์ สิรินธร)


วัดญาณสังวรารามอาจถือเป็นวัดประจำรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช เนื่องจากคณะผู้สร้างวัดได้พร้อมใจกันสร้างขึ้นเพื่อน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาครบ ๕ รอบ




วัดนี้อยู่ในพระอุปถัมภ์ของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายก และได้รับพระมหากรุณาธิคุณพระกรุณานานัปการจากองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอทุกพระองค์ และสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ได้ทรงอุปถัมภ์ในการก่อสร้างตลอดมา และทรงรับเป็นวัดในพระบรมราชูปถัมภ์ เป็นวัดในพระองค์อีกด้วย

ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.sattahiptour.com/

Pattaya Floating Market - ตลาดน้ำ ๔ ภาค พัทยา


Pattaya Floating Market is a major tourist attraction, conserving Thai Culture and Art. A place of reflected the old way of Thai life and Thai culture from 4 regions in Thailand. You can enjoy the beautiful scenery, traditional Thai style.

You can spend a day wandering around many Thai building, shop selling traditional Thai goods, handicraft, wood carvings, Thai herbs, Thai silk & Cloth. You can take a boat and paddle around the market, enjoy impressive Thai cultural performances, but that day I went they have no performance any ;-(

Pattaya Floating Market opened few years ago but for me this is my first time to visit. I came to Pattaya to visit my friend and she bought me here. That day we went was a week day, so their not so many people/tourists, I thought it because of the weather was very hot, even we also can’t walk much because of the heat.


หนีความวุ่นวายในกรุงเทพฯ เลยถือโอกาสนี้ออกต่างจังหวัด ไปเยี่ยมเพื่อนที่พัทยาซะเลย ออกเดินทางจากรุงเทพฯ ตอนสายๆ เพราะถ้าบ่ายคงเจอรถติดแน่นอน พอไปถึงพัทยาก็ปาเข้าไปเกือบบ่าย 2 โมง หิวข้าวจนตาลาย พอไปถึงบ้านเพื่อน ซึ่งรออยู่จึงพากันไปกินส้มตำ-ไก่ย่าง ก่อนเลย แถมเพื่อนยังอุตส่าห์หอบหิ้วข้าวเหนียวมะม่วง มาให้เรากินกันที่ร้านส้มตำอีกด้วย ด้วยความหิวกินกันแบบอร่อย

หลังจากทานกลางวันเสร็จ ก็ชวนกันไปเที่ยวตลาดน้ำ ๔ ภาค ซึ่งตลาดน้ำนี่เค้าเปิดมานานแล้ว แต่ตัวเองยังไม่เคยไปเลย นี่เป้นครั้งแรกที่ ก็อยากจะเห็นว่าจะสวยงามอย่างที่เค้าคุยกันมั้ย ไปถึงที่นั่นก็บ่าย 3 โมงกว่าแล้ว อากาศก็ร้อนแสนร้อน วันนี้นักท่องเที่ยวไม่ค่อยเยอะ คงหนีไอร้อนไปเล่นน้ำทะเลกันก่อน หรืออาจจะเป็นเพราะไม่ใช่วันหยุด  แถมกิจกรรม หรือการแสดงก็ไม่มีให้ชมเลย ดูแล้วเงียบเหงายังงัยพิกล

 
เดินชมโน่นชมนี่กันไปเรื่อยเปื่อย เห็นอะไรก็นึกย้อนไปสมัยเป็นเด็กอยู่บ้านนอก มีแม่น้ำเล็กตัดผ่านหน้าบ้าน มียอใหญ่(เครื่องมือจับปลาชนิดหนึ่ง)สำหรับยกปลา สมัยเราเป็นเด็กพ่อเคยทำไว้ยกปลาที่คลองหน้าบ้าน มีสะพานข้ามคลอง เดินคิดไปเพลินๆ จนลืมไปว่าอากาศร้อนมาก พี่เจ้าถิ่นที่พาเรามา เดินจ้ำอ้าวไปรออยู่ที่หน้าทางเข้าเพราะร้อนมาก หรืออาจจะมาบ่อยจนเบื่อแล้วก็ได้ไม่รู้เนอะ
                     
เลยเดินดูไปรอบๆบริเวณ ไม่ได้ซื้อของหรืออะไรเลย เพราะแอบติในใจว่าของแพงมากกกกกค่ะ หรือเป็นเพราะเค้าเจาะจงลูกค้าต่างชาติ พวกฝรั่ง จีน เกาหลี หรือไต้หวัน กระเหรี่ยงอย่างเราเลยซื้อไม่ไหว ฮ่าๆๆๆ

มีเรือพายขายของในคลองด้วย ทำบรรยากาศเหมือนตลาดน้ำทั่วไป แต่ดูแม่ค้าน้อยจัง หรือวันหยุดอาจจะเยอะกว่านี้ก็ไม่รู้เนอะ

มีเรือพายให้ชมในลำคลอง หรือบริเวณรอบตลาดน้ำ ชมวิวรอบตลาดน้ำ แต่สำหรับเราแล้วไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าไหร่ ส่วนการแสดงก็ไม่มีด้วยในวันนั้น อาจจะเป็นเพราะไม่ใช่วันหยุด

แต่ไม่ค่อยประทับใจเท่าไหร่ น้องนางที่คอยยืนต้อนรับอยู่หน้าทางเข้าตลาดฯ เห็นแขกชาวจีน ชาวไต้หวัน หรือฝรั่งเดินเข้ามาหล่อนยกมือไหว้ประลกประลก กล่าวคำต้อนรับด้วยเสียงอันไพเราะ พอเห็นเราหน้าเหมือนกระเหรี่ยงเพิ่งลงจากดอยเดินมา หล่อนยืนมองเฉยๆ แถมยังหันไปคุยกะเพื่อนที่ยืนคนละฝั่งอีกต่างหาก อ๊ะ...ฉันก็เป็นนักท่องเที่ยวน่ะย่ะ ...อุตส่าห์ดั้นด้นลงจากดอยกระเหรี่ยง อยากเที่ยวตลาดน้ำ ๔ ภาคกะเค้าเหมือนกันน่ะว๊อยยย...