December 06, 2008

เที่ยวเชียงใหม่ - ลำพูน

ยังอยู่เชียงใหม่อีกวัน ทีแรกก็ตั้งใจว่าออกไปงานราชพฤกษ์แต่สามีกลัวรถติดอย่างเมื่อวาน เลยตัดโปรแกรมนี้ออกไป ว่าจะไปเที่ยวงานที่มหาวิทยาลัยแม่โจ้ เค้ามีงานอีกเหมือนกัน เพราะเพื่อนที่เรียนจบมาด้วยกัน และหลายคนก็มาเรียนกันที่นี่ก็เยอะ โทรคุยกับเพื่อนที่มาในงาน บอกคนเยอะมาก ที่จอดรถก็หายาก เลยตัดโปรแกรมนี้อีก เป็นอันว่าวันนี้ไม่ได้ไปไหน เลยตกลงกันว่างั้นอยู่บ้านพักผ่อน สามีก็เลยมีเวลาเตรียมวางแผนเดินทางต่อตอนขากลับว่าแวะที่ไหนบ้าง

ตอนสายหน่อย พี่สาวชวนไปเดินดูของที่ตลาดนัดใกล้บ้าน จากนั้นก็ไปทานข้าวกลางวันกันที่ลำพูน กลับเข้าบ้านตอนบ่ายก็นั่งๆนอนๆเล่นอยู่ในบ้าน เป็นวันหยุดที่หยุดจริงๆ หยุดออกไปที่ไหนๆ เพราะรถติด ฮ่าๆๆๆ

วันนี้เลยไม่มีรูปเที่ยว แต่มีรูปอาหารมาฝากกันแล้วกัน เป้นร้านอาหารที่จังหวัดลำพูน พี่สาวพาไปทาน ชื่อ "ร้านคำฝ้าย" เป็นร้านอยู่ติดถนน ก่อนถึงวัด (วัดอะไรจำไม่ได้อีกแล้ว ขอโทษด้วยค่ะ รู้แต่ว่า ด้านหน้าฝั่งตรงข้ามของร้านเป็นแม่น้ำ) เป็นร้านที่จัดเหมือนบ้านพักอาศัยของคนสมัยโบราณ เป็นเรือนสองชั้น ชั้นล่างเป็นห้องโล่ง จัดโต๊ะสำหรับรับประทานอาหารไม่มาก ชั้นบน เป็นห้องโถงโล่งๆ หน้าต่างทำเป็นบานใหญ่ๆ เปิดแบบลับลมได้สบาย ส่วนผนังบ้าน เป็นฝาไม้ที่เลื่อมล้ำกัน เป้นช่องลอดเล็กเพื่อระบายลม ถ้าเป็นบ้านสำหรับอยู่อาศัยจริงๆ คงเย็นสบายน่าดู แถมใกล้แม่น้ำอีกด้วย

พวกเราขึ้นไปนั่งกันชั้นสอง มองลงมาฝั่งตรงข้าม อยากมีบ้านแบบนี้จังเลย คงเย็นสบายดีเนอะ

โต๊ะเก้าอี้ นั่งติดหน้าต่าง เห็นหน้าต่างแบบนี้ นึกถึงบ้านของเราเองตอนสมัยเด็ก หน้าต่างที่บ้านจะเป็นเหล็กเส้นแบบนี้เหมือนกัน เห็นแล้วคิดถึงบ้านหลังเก่าจัง

เดินขึ้นมาชั้นบน ถ้าเป็นบ้านที่พักอาศัย ตรงนี้ก็จะต้องเรียกว่า ห้องรับแขก นั่นเอง เป็นห้องโถงกว้างขวางดี แล้วจะมีมุมที่เค้าสร้างเป็นห้อง เหมือนห้องนอน แต่ปิดไม่ได้เปิดให้เข้าไปชมได้

โต๊ะชุดนี้ ตั้งอยู่กลางห้อง แต่เราเลือกที่นั่งติดหน้าต่างบานใหญ่นั่นได้บรรยากาศมากกว่า

ชมบ้านจนเพลินตา เพลินใจแล้ว ก็หิวแล้วหล่ะซี สั่งอาหารกันเลยแล้วกันจ้ะ กลับมาที่โต๊ะ พี่สาวจัดการสั่งอาหารมาเรียบร้อยแล้ว โดยจานแรกก็เป็นนี่เลย "ส้มตำไทย" รสไม่จัด เห็นว่าลูกสาวอยากทาน แต่พอเจอยำมะม่วง เปลี่ยนใจไม่ทานส้มตำเลย เพราะยำมะม่วงอร่อยกว่าซะอีก ฮ่าๆๆๆ

แกงจืดเต้าหู้สาหร่าย อาหารจืดสำหรับเด็กๆ มาเป็นหม้อดินเลยน่ะเนี้ย ....

ไก่ทอดน้ำปลา จานนี้อร่อย ไก่ทอดเค้าทอดได้กร๊อบบบบกรอบค่ะ ... ชอบตรงที่เค้าทอดได้แห้งและไม่มีน้ำมันเลย

ปลาสำลีแดดเดียว แล่มาเป้นชิ้นๆ ทานง่ายดีจัง เด็กๆชอบกันมาก มาคู่กันกับยำมะม่วง

จานนี้งัยหล่ะค่ะ "ยำมะม่วง" อร่อยแซ่บใช้ได้เลยค่ะ สั่งกันมาเท่านี้ ทานกัน 5 คน ค่าอาหารไม่ถึง 500 บาท โอ้โห้..ทำไมมันถึงได้ถูกแบบนี้ แถมอร่อยอีกด้วย ร้านนี้อาหารอร่อยใช้ได้ก็จริง แต่รอนานมากกกกก ตอนเราไปทานกัน ไม่มีลูกค้าเลย เพราะเลยเที่ยงไปแล้ว อาหารกว่าจะมาแต่ละอย่างได้ เล่นเอาเราเกือบโมโหหิวกันทั้งหมดเลย


December 05, 2008

เที่ยวเชียงใหม่ - ดอยสะเมิง

หลังจากทานข้าวกลางวันกันเรียบร้อยแล้วก็ออกเดินทางกันต่อ ไปยังจังหวัดเชียงใหม่ วันที่ ๕ ธค ซึ่งตรงกับ "วันพ่อ" คุณสำราญ เชิญชวนให้พวกเรา ขึ้นไปเที่ยวไร่ส้ม และไร่สตอร์เบอรี่ ของหลานบนดอยสะเมิง ตอนแรกเค้าตั้งใจจะพาพวกเราขึ้นไปนอนกันบนดอย แต่เนื่องจากวันที่พวกเรามาถึงเป็นเวลาเย็นมากแล้ว เกรงว่าจะเหนื่อยที่ต้องขับรถขึ้นเขาและทางลาดชันอีก แถมอากาศหนาวเย็นมาก ประมาณ ๔ องศาเซลเซียส เลยเปลี่ยนแผนไม่ขึ้นไปนอนดีกว่า สรุปว่าจะพาขึ้นไปชมตอนเช้า และกลับลงมาตอนบ่ายๆ โดยจุดนัดหมายของพวกเราคือ "ไร่นภ-ภูผา"

ทางขึ้นดอยสะเมิง เป็นทางลาดชัน คดเคี้ยว หักศอกมีเป็นบางจุด สามีจึงต้องขับขึ้นด้วยความระมัดระวัง เพราะไม่ค่อยเคยขับขึ้นดอยและทางลาดชันแบบนี้มาก่อน อีกอย่างรถเรามันก็แก่คราวคนขับ เมื่อ ๒-๓ ปีก่อน ขึ้นดอยอินทนนท์ ดอยอ่างขาง และพิชิตโค้ง ๑,๘๖๔ โค้ง ที่แม่ฮ่องสอน แต่มีพี่เขยเป็นคนขับให้พวกเรา ครั้งนี้สามีขับเองเลยตื่นเต้นดี แล้วสามีเราเนี้ยเป็นคนที่ขับรถแล้วต้องมีแผนที่ มี GPS และดูไมล์บอกระยะตลอดเวลา เพื่อนบอกประมาณ 20 กม. แต่พอขับขึ้นมาจริง มันกลายเป็น ๓๔ กม.ไปซะนี่ โดยดูจากป้ายหลัก กม. บอกระยะว่าอีก 3 กม. จะถึงอ.สะเมิง แล้วมองด้านขวามือ จะเห็นป้ายชื่อ "ไร่นภ-ภูผา" และมีป้าย "ไร่ส้ม-สตอร์เบอรี่"

นี่แหละป้ายบอกทางไปไร่ฯ พอเห็นก็ต้องเลี้ยวเลย...ถ้าขับเลยไปก็ต้องไปกลับรถมาอีกทีค่ะ


ขอเรียกว่าเป็น "เรือนรับรอง" ดีกว่า เพราะแขกไปใครมาก็จะขึ้นมาชมข้างบน เค้าจัดเหมือนบ้านพักของคนเก่าคนแก่ สมัยเราเด็กจะมีบ้านเรือนไม้กระดานแบบนี้เหมือนกัน เดินขึ้นก็มีห้องโถงกว้างอยู่กลางบ้าน แล้วมีห้องนอน 1 ห้อง ที่นี่จัดได้ตามแบบสมัยก่อนเลย ต่างกันก็เพียง เค้าจัดเป็นบาร์ขายเครื่องดื่ม เช่นน้ำส้มปั่น, น้ำส้มคั้น, น้ำสตอร์เบอรี่ปั่น (โดยเก็บมาจากไร่คั้นกันสดๆ) แล้วยังมีเครื่องดื่มอื่น เช่น กาแฟสด ชา ไมโล และเบียร์เย็นๆ ไว้บริการด้วยเช่นกัน

ด้านหน้าของไร่สตอร์เบอรี่ เข้ามาเห็นศาลาแบบนี้ ทำให้อยากเข้าไปนั่ง ดูน่าสบายและ ทางไร่ฯ จัดสร้างเพิงที่พักแบบนี้ไว้สำหรับแขกที่เข้ามา พักที่นี่ หรือเข้ามาเก็บส้ม เก็บสตอร์เบอรี่ ได้นั่งพักดื่มน้ำส้มคั้นเย็นๆที่ทางไร่จัดเตรียมไว้ต้อนรับ หรือจะสั่งกาแฟมานั่งดื่มก็ได้ พอนั่งพักหายเหนื่อย แล้วจากนั้นค่อยออกไปเก็บสตอร์เบอรี่ และส้มกันต่อ

ส่วนนี้เป็นห้องพักเป็นหลังๆ โดยสร้างแบบง่ายไสตล์ชาวบ้านหรือชาวเขา เพื่อเป็นจุดสนใจกับแขกที่มาพัก เนื่องจากทางไร่ฯ เพิ่งจัดทำเป็นรีสอร์ทเล็กๆ จึงมีบ้านพักเพียง 3 หลัง แต่ก็มีที่สำหรับกางเต้นท์ได้มากพอที่จะรองรับคนที่จะมาพักและกางเต้นท์นอนได้ถึง 30 เต้นท์เลยทีเดียวค่ะ


ภายในไร่ฯแห่งนี้ ยังมีม้าที่เชื่อง สำหรับให้เด็กๆได้ขี่เล่นกันอีกด้วย เป็นความสนุกและตื่นเต้นของเด็กอีกแบบหนึ่ง โดยเฉพาะเจ้าลูกชาย กลัวจนเกร็ง แล้วม้าเค้าก็แสนรู้มาก ว่าคนที่ขี่เค้าเกร็ง เค้าจะยืนไม่นิ่ง ทำให้เจ้าลูกชายเรายิ่งกลัวเข้าไปอีก เพราะกลัวม้าจะพาวิ่งแล้วตกลงมา

พักดื่มน้ำส้มเย็นๆกันเรียบร้อยแล้ว ก็เริ่มปฏิบัติการออกกำลังกายกันได้แล้ว ออกไปเก็บสตอร์เบอรี่งัยหล่ะค่ะ ไปตอนเช้าๆแบบนี้ สตอร์เบอรี่ยังมีเยอะ เพราะถ้าเป็นวันหยุดหรือช่วงเทศกาลวันหยุดต่อเนื่องแบบนี้ ทางไร่ฯจะไม่ให้คนงานเก็บเลย เพราะว่าช่วงนี้จะมีนักท่องเที่ยวเข้า-ออก เพื่อมาเก็บสตอร์เบอรี่ เก็บส้มกัน
กันทั้งวัน


ใครอยากเก็บสตอร์เบอรี่ ก็เก็บไปตามความต้องการที่จะเก็บ เก็บเสร็จก็นำไปให้เจ้าของเค้าชั่งกิโล แล้วคิดตังส์น่ะค่ะ ไม่ได้เก็บฟรีค่ะ

ใครอยากจะเก็บส้ม ก็ต้องเดินไกลหน่อย เพราะสวนส้มอยู่ด้านหลังของไร่ฯ แต่บางคนมาถึง ติดต่อทางไร่ฯว่าจะเข้าไปเก็บส้ม แล้วก็ขับรถเลยเข้าไป พอเก็บเสร็จก็จะกลับมาจ่ายตังส์ที่ "เรือนรับรอง" เพราะ "คุณไก่" เจ้าของไร่ฯ จะอยู่ที่นี่คอยดูแลแขกที่เข้า-ออก แล้วชั่งกิโลผลไม้และเก็บเงิน

ตอนเราไปส้มออกมากมาย จนเก็บไม่ทัน ร่วงใต้ต้นมากมาย น่าเสียดายจัง ส้มสายน้ำผึ้งที่นี่ มีทั้งรสหวานเจี๊ยบ และหวานอมเปรี้ยว เพื่อนบอกให้ลองเด็ดมาชิมซักลูกหนึ่งก่อน ถ้าชอบแบบไหนก็ค่อยเก็บจากต้นนั้น

สองคนนี่ เก็บไปชิมไป เพลินกันเลยสองพี่น้อง เพราะเพิ่งเคยเก็บส้มกินจากต้นก็ตอนนี้แหละ เลือกที่หวานๆกันใหญ่ ส่วนเราเลือกที่มันหวานอมเปรี้ยว

เก็บส้ม เก็บสตอร์เบอรี่กันเสร็จแล้ว ได้เหงื่อนิดหน่อย เริ่มคอแห้ง พักหายเหนื่อย ก็กาแฟสดแบบนี้มาดื่ม ตอนอากาศกำลังเย็นสบาย ทำให้ร่างกายเราอบอุ่น กระชุ่มกระชวยขึ้นอีกเยอะเลยหล่ะค่ะ

"ไร่นภ-ภูผา" พอได้มาแล้ว มีความประทับใจหลายอย่าง ทั้งบรรยากาศ สภาพอากาศที่เย็นสบาย และความมีน้ำใจไมตรีจากเพื่อนรุ่น 8 และความประทับใจเหล่านี้ จะคงอยู่ในใจของพวกเราไปตลอด และถ้าพวกเรามีโอกาสกลับไปที่เชียงใหม่อีก คงได้ขึ้นไปเที่ยวที่ไร่ฯนี้อีกแน่นอนค่ะ

ก่อนจะกลับ เพื่อนรุ่น 8 อีกคน คือ "คุณอ้อมใจ" มากลับครอบครัว เลยได้มีโอกาศเจอกันทั้งครอบครัว หลังจากที่พวกเราไม่ได้เจอกันมาเลยหลังจากเรียนแล้ว

ขอบคุณ คุณไก่ เจ้าของและผู้ดูแล ไร่นภ-ภูผา, คุณสำราญ และครอบครัว ที่ให้การต้อนรับพวกเราเป็นอย่างดี พาพวกเราได้ไปเที่ยวชมไร่ฯ ได้ดื่มกาแฟสด น้ำส้มคั้นสดๆ แถมยังมีส้มกับสตอร์เบอรี่หอบหิ้วกลับบ้านอีกด้วยน่ะค่ะ ...ขอบคุณจากใจจริงค่ะ

เที่ยวเชียงใหม่

หลังจากลงมาจากดอยสะเมิง ก็ตั้งใจว่าจะเข้าไปเที่ยวงาน "ร่วมใจพักตร์รักพ่อหลวง" ที่สวนราชพฤกษณ์ โดยขากลับลงมาทางแม่ริม ก็คิดว่าก็จะต้องผ่านงานนี้แล้วจะแวะ แต่พอลงมาได้ รถก็ติดแหงกเลยค่ะ ไปไหนไม่ได้ เห็นท่าจะไม่ค่อยดีแล้ว เพราะติดแบบอยู่นิ่งเลยเกือบ 1/2 ชม รถค่อยขยับไปทีละนิด พอถึงทางเลี้ยวเข้างานฯ โอ้โห้..รถเพียบเลย สองคนกับสามีตัดสินใจกลับบ้านดีกว่า เอามาวันพรุ่งนี้ เลยกลับบ้านไปนอนพัก แล้วออกมาทานข้าวที่ร้านพี่สาว


พอดีคืนนี้เป็นวันพ่อ เลยบอกพี่สาวว่าอยากจุดโคมไฟ ถวายพระพร แล้วอีกอย่างทั้งลูกและเราเองยังไม่เคยจุดโคมไฟลอยมาก่อน สามีบอกเค้าเคยจุดแล้วกับเพื่อนๆ ตอนที่เค้าไปขี่จักรยานกันหลายปีก่อน พี่สาวก็ให้เด็กออกไปซื้อโคมไฟมา แล้วก็ให้พวกเราได้จุดถวายพระพรกันในคืนนั้น


ตื่นเต้นและสนุกสนานกันใหญ่เลย ที่ได้ลอยโคมไฟ เด็กๆก็ชอบ ผู้ใหญ่ก็ฮา ไม่เคยจุดโคมไฟกันมาก่อน กลัวไฟจะไหม้กระดาษก็กลัว แต่ก็ได้พี่คนหนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนพี่สาว เค้ามาช่วยสอนให้ทำอย่างไร พวกเราเลยจุดกันได้ โดยที่ไฟไม่ไหม้ซะก่อน

เค้าก็บอกให้ตบๆ เพื่อความร้อนของไฟจะได้เข้าไปอยู่ในโคม ...ก็ทำตามที่เค้าบอก จากนั้นเค้าก็บอกให้อธิษฐาน อยากขออะไร เด็กก็ทำตามที่เค้าบอก ..แหมมสนุกกันใหญ่เลยวุ้ย

เจเล็ก ก็ตื่นเต้น

ส่วน เจใหญ่ ก็ลุ้น

จากนั้นโคมของพวกเราก็ลอยสู่ท้องฟ้า แล้วพวกเราก็อธิษฐาน "ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน"



จุดโคมไฟกันแล้ว ก็กลับมานั่งทานข้าวกันต่อ หลานๆสั่งป้า ให้ทำคอกเทลมาให้กินบ้าง ส่วนป้าก็กลัวว่าจะมีแอลกอฮอล์ เลยเอาส้มที่ได้มาจาก ไร่นภ-ภูผา เอามาปั่นให้หลานดื่มกัน ได้ส้มหงาน ดื่มท่ามกลางอากาศหนาวเย็น ขนลุกดีจริงๆ ฮ่าๆๆๆ

แต่หนาวแค่ไหน สองเจก็ไม่เกี่ยง อยากดิ่มซะอย่าง หวานชื่นจายยยย คร๊าบบบบ


December 04, 2008

เที่ยววัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรวิหาร จังหวัดพิษณุโลก

ออกจากเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ ตอน 8 โมงเช้า เพื่อจะเดินทางต่อไปจังหวัดเชียงใหม่ แต่นัดกับเพื่อนไว้ คือ "คุณอภิชาติ" ว่าแวะไปหาที่พิษณุโลกก่อน และให้เพื่อนพาไปไหว้ "พระพุทธชินราช" ที่ประดิษฐานอยู่ที่ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรวิหาร (วัดใหญ่) จังหวัดพิษณุโลก ซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่งดงามที่สุดในประเทศไทยองค์หนึ่ง

หลายปีก่อน เคยมาครั้งหนึ่งแล้วเช่นกัน ตอนนั้นกลับรถกลับมาจากเชียงราย แล้วแวะไหว้พระพุทธชินราช นี้เช่นกัน ไหนๆ เราก็ต้องผ่านจังหวัดนี้อยู่แล้ว ก็โอกาสอันดีนี้ได้เข้ามาสักการะอีกซักครั้ง อีกอย่างหนึ่งก็คือ "คุณอภิชาติ" กับเราเองก็ไม่เคยเจอกันมา 20 กว่าปีหลังจากพวกเราจบจาก วิทยาลัยเกษตรกรรมสิงห์บุรีมา ก็เลยถือโอกาสแวะเยี่ยมเยียนเพื่อนด้วยเลยทีเดียว

ภายในพระอุโบสถ มีรูปปั้นของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ให้กราบไหว้บุชาอีกด้วยค่ะ

จุดธูป-เทียนสำหรับไหว้กันหน้าพระอุโบสถ ก่อนจะเข้าไปชมด้านใน


พระอุโบสถ ที่ประดิษฐาน "พระพุทธชินราช"

คุณอภิชาติ เพื่อนรุ่น 8 ที่ไม่ได้เจอกันมาเกือบ 20 กว่าปี ได้พาพวกเรามาไหว้พระที่นี่ ขอบคุณเพื่อนมากเลยจ้ะ ที่สละเวลาพาเราและครอบครัวมาไหว้พระกัน

ไหว้พระเสร็จ เพื่อนยังซื้อของฝากให้พวกเราหิ้วไปเชียงใหม่กันอีกด้วย พอเสร็จจากตรงนี้ พวกเราก็มุ่งหน้าสู่จังหวัดลำพูน และเชียงใหม่ต่อ โดยคุณอภิชาติ ได้ขับรถไปเชียงใหม่ด้วยกับพวกเรา เพราะจะไปทำธุระที่เชียงใหม่เช่นกัน แล้วยังพาเราแวะทานข้าวกลางวันกันที่ ลำปาง อีกด้วย

ก่อนจะถึงทางแยกเข้าลำปาง คุณอภิชาติ พาแวะทานข้าว "ร้ายลมเย็น" ระหว่างทาง เป็นข้าวราดแกง เป็นร้านอาหารที่ขายอาหารธรรมดา แต่จัดร้านให้ใหญ่โต อลังการณ์มาก แสดงว่าช่วงวันหยุด หรือช่วงเทศกาลคนคงแวะทานข้าวร้านนี้กันเยอะมาก เพราะนอกจากด้านหน้าจะใหญ่โต กว้างขวางแล้ว พอเดินไปด้านหลัง (ตอนไปห้องน้ำ) แหมม เหมือนไม่รู้ว่าเป็นบ้านเจ้าของร้านหรือว่า เป้นร้านอาหาร (ลืมถามเพื่อน) บ้านใหญ่โตมากจริงๆ

แต่พวกเราไม่ลิ้มลองรสชาตข้าวแกงของที่นี่ เพราะพวกเราชอบทานก๋วยเตี๋ยว มื้อที่ไม่หนักแบบนี้กัน...แล้วเพื่อนเรายังเป็นคนจ่ายเงินอีกด้วย เกรงใจเพื่อนจัง แวะมาหากะว่าจะเลี้ยงข้าวเพื่อน เพื่อนดันมาเลี้ยงเราซะนี่ ...ขอบคุณคุณอภิชาติ มากค่ะ ที่ให้การต้อนรับเป้นอย่างดี ถ้ามีโอกาสอยากให้มาเที่ยวสิงค์โปร์บ้าง จะเลี้ยงข้าวให้อิ่มทุกมื้อเหมือนกันค่ะ

December 03, 2008

เที่ยวเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ 1

เที่ยว "เขาค้อ" เป็นความคิดของคุณสามีที่รัก ที่ไปอ่านเจอในอินเตอร์เนท ว่า เขาค้อ มีอากาศหยาวเย็น และเป็นดินแดนที่คนเค้าเรียกกันว่า "Swiss Thailand" ก็เลยเกิดอยากไปเที่ยวที่นั่นดูบ้างว่าเป็นยังงัย เพราะมลกะลูกคงไม่มีโอกาสได้ไปสวิสฯ จริงๆ ลองไปปรับตัวให้เข้ากับอากาศเย็นเหมือนสวิสฯก่อน มลเองเคยไปเข้าค้อ เมื่อ 20 กว่าปีก่อน สมัยเรียนอยู่เกษตรสิงห์บุรี อาจาร์ยพาพวกเราไปเที่ยวและปลูกต้นไม้กันที่นั่น สมัยนั้น ทางขึ้นเขาลำบากมาก แล้วสองข้างทางเป็นป่ารก กลัวพวกคอมมิวนิสต์จะดักข้างทางเหมือนกัน ฮ่าๆๆๆๆ ...แต่ก็สนุกสนานกันตามประสาเด็กไม่เคยไปไหน...

วันนี้กลับมาอีกครั้ง ดูแปลกตา แปลกใจ ทุกอย่างเปลี่ยนไปเยอะ ถนนหนทางดีขึ้น บ้านพัก รีสอร์ท โฮมเสตย์ มากมายเกลื่อนกลาดเกิดขึ้นเป็นดอกเห็ด ดูแล้วเจริญกว่าสมัยที่เคยมาเยอะเลยค่ะ

เรามาพักกันที่นี่ค่ะ "เขาค้อคันทรี่โฮม" คุณอภิชาติ เพื่อนรุ่น 8 จากเกษตรสิงห์บุรี แนะนำมา เพราะเป็นรีสอร์ทของน้าชาย ไม่ผิดหวังจริงๆ เพราะรีสอร์ทเล็กๆ มีไม่กี่หลัง แต่ก็อบอุ่นและสบายดีเหมือนกัน เพราะเป็นช่วง"ก่อน"วันหยุดยาว ทำให้รีสอร์ทที่นี่ มีเพียงครอบครัวเราเพียงครอบครัวเดียวที่มาพักที่นี่ แต่วันที่เราจะเช็คเอาท์ ปคุณป้า ผู้ดูแลบอกว่า จะมีคนมาเช็คอินกันเยอะ เพราะห้องที่จองไว้เต็มยาวถึงวันที่ 6 ธคเลยหล่ะคะ

บ้านพักหลังใหญ่ ขนาดจุคนได้ 10-12 คนเลยทีเดียว

"บ้านโอบดาวและอาบเดือน" เป็นบ้านหลังคู่ มี 2ห้อง พักได้ 7-8 คน

" บ้านโอบอุ่น" ที่เราไปพักกัน พักได้ 4 คน โดยมีเตียงเสริม 1 และที่นอนเสริม 1 ให้

ภายในบ้านพัก จัดได้น่ารักดีค่ะ เป็นเรือนไม้ทั้งหลัง แต่พื้นเป็นกระเบื้อง เย็นมากๆ เย็นจนพวกเราต้องใส่ถุงเท้าเดินกันเลยหล่ะค่ะ อากาศที่ไปวันนั้น คิดว่าอยู่ที่ 14-16 องศาซี เพราะกลางคืน หนาวจับใจ ทั้งถุงมือ ถุงเท้า ยังไม่หายหนาว ยังต้องใส่หมวกนอนด้วย (เพราะถ้าหัวเราอุ่นๆ ร่างกายเราก็อุ่นไปด้วย)

ห้องน้ำ สะอาด สวยดี แต่ไม่ค่อยได้ใช้ อ้าววว...คงจะงงทำไมไม่ใช้ ใช้ค่า แต่ใช้ไม่บ่อย เพราะข้างในนั้นมันเย็นค่า ฮ่าๆๆๆ...เดินเข้าไปนี่เย็นยะเยือกเลย อาบบน้ำเราต้องอาบกันตอนบ่าย เพราะถ้าตะวันตกดิน ไม่ต้องพูดถึง แต่ล้างมือยังสั่นเลยจ้า อิอิอิ

บ้านพักที่มี เค้าจัดไว้ "แบบนอนเตียงเดี่ยว-คู่"

หรือจะเป็นบ้านพักแบบเตียงนอนคู่ ก็มีให้เลือกค่ะ

บริเวณรอบๆ สนามหญ้าตรงกลางรีสอร์ท มีเต้นท์กางไว้ สำหรับแขกที่มาพักที่นี่ แล้วต้องการนอนเต้นท์ ก็มีให้เลือกขนาด 4-6 คน หรือ 2-4 คนค่ะ

บริเวณตรงกลางภายในรีสอร์ท เค้าจัดให้มี กองไฟกลางสนาม สำหรับแขกที่มาพักกันเป็นกลุ่มหรือคณะ กลางเต้นท์นอนกันที่สนามหญ้า กลางคืนก็สามารถเล่นรอบกองไฟได้

ยามเช้าตอนสายของวันใหม่ ชมบริเวณรอบๆรีสอร์ท ดูสดชื่นดีจัง อากาศก็ดี ขนาดสายมากแล้ว ยังเย็นๆอยู่เลยหล่ะค่ะ นี่ถ้าได้มีบ้านแถวนี้ซักหลังเอาไว้เป็นบ้านพักช่วงวันหยุด คงมีความสุขไม่น้อยน่ะเนี้ย แต่คงไม่คิดจะอยู่ถาวร เพราะเป็นคนไม่ชอบอากาศที่หนาวเย็นจนเกินไป เป็นโรคขี้หนาวค่ะ อิอิอิ

ศาลาสำหรับนั่งรับประทานอาหารเช้า และเป็นห้องครัว ที่คุณป้า ทำอาหารเลี้ยงพวกเรา

ที่รีสอร์ทแห่งนี้ ราคาที่พัก เค้าจะรวมอาหารเช้าให้เราด้วย มากี่คนก็จัดให้ตามจำนวนคน โดยจะเป็นหน้าที่ของคุณป้าสองพี่น้อง คือ คุณป้าเหวียงและคุณป้าม่วย จะเป็นคนจัดอาหารเช้าไว้ให้พวกเรา ไม่ว่าจะเป็น ข้าวต้มเครื่องบ้าง ข้าวต้มกุ๊ยบ้าง แล้วยังมีชา, กาแฟ,ไมโล,ซีเรียล และยังรวมไปถึง ขนมปังปิ้ง ทาเนย ทาแยมให้พวกเราอีกด้วยน่ะคะ

ลากันด้วยภาพ สองป้า ที่น่ารักและมีน้ำใจ ดูแลพวกเราตลอด 2 วันที่พักกันที่นั่น ไม่ช่ายญาติแต่ก็เหมือนญาติ ขอบคุณ คุณป้าเหวียง และคุณน้าม่วย สองพี่น้องที่น่ารักค่ะ

photo by MaeJJ