November 21, 2008

เที่ยววิหารเทพสถิตพระกิติเฉลิม หรือ วัดนาจา

วิหารเทพสถิตพระกิติเฉลิม หรือศาลเจ้า "หน่าจาซาไท้จื้อ" เป็นศาลเจ้าจีนที่ก่อสร้างอย่างสวยงามใหญ่โต ตั้งอยู่ริมเส้นทางเลียบชายทะเลจากอ่างศิลาไปเขาสามมุข มีตึก 4 ชั้น ภายในโอ่โถงตระการตาด้วยสถาปัตยกรรมแบบจีน จุดเด่นด้านศิลปวัตถุที่สำคัญ ได้แก่ รูปปั้นมังกรซึ่งมีมากถึง 2,840 ตัว กระถางธูปศักดิ์สิทธิ์ เสาฟ้าดิน นอกจากนี้ยังเป็นสถานที่ที่มีองค์ไท้ส่วยเอี้ย (ดาวเทพคุ้มครองดวงชะตาประจำปีเกิดของมวลมนุษย์) ครบ 60 องค์ ให้ผู้มาเยือนได้ขอพรได้ตรงตามปีเกิด



ขอขอบคุณ ข้อมูลจาก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ ท่านสามารถเข้าไปอ่านประวัติและรายละเอียดอื่นๆ ของวัดนี้ได้ที่เวปไซด์นี้ค่ะ http://www.najathai.net/fourclass.html

รูปปั้นขององค์เทพเจ้าหน่าจา ได้เข้าไปอ่านประวัตของท่านแล้ว รู้สึกตื่นเต้นและน่าทึ่งจังค่ะ ลองเข้าไปอ่านกันดูค่ะ http://www.najathai.net/historymain.html

เป็นวัดที่ถูกสร้างขึ้นมาได้ใหญ่และอลังการณ์มาก สถาปัตยกรรมที่สร้างขึ้นอย่างสวยงามตามไสตล์ของวัฒนะธรรมจีนจริงๆ ทำให้รู้สึกดีมาก ที่วันนี้ได้มาเห็นและกราบไหว้เทพเจ้าองนี้

ด้านขวาของวิหารจะเป็นระฆังใบใหญ่

ด้านซ้ายของวิหารจะเป็นกลองขนาดใหญ่

ถ่ายจากด้านบน ที่เรายืนอยู่บนวิหาร แล้วมองลงมาที่หอระฆัง ด้านบนวิหาร อากาศเย็นสบาย ลมพัดตลอดเวลา จนบางครั้งพวกเรายืนอยู่นอกวอาคารได้ไม่นาน เพราะลมแรงมาก ตรงส่วนบนวิหารแต่ละชั้น ยังสามารถชมวิวได้สวยงามทีเดียว

เจดีย์ 5 ฉัตร (เรียกงี้เปล่าหว่า) ปฏิมากรรมของจีน สวยเด่นอยู่ตรงกลางด้านหน้าของวิหาร

มองเข้าไปด้านในของเจดีย์ มีคนเข้ามากราบไหว้เช่นกัน แต่เราไม่ได้เดินเข้าไปดู ว่าเป็นเทพเจ้าองค์ไหน

ชอบใจตรงนี้มาก มังกรตัวที่ เทพเจ้าหน่าจาขี่อยู่นี้ ในปากมีลูกแก้วอยู่ด้วย เห็นแล้วชอบมาก มองแล้วดูมีพลังอย่างไม่เชื่อ (ไม่รู้เรามองคนเดียวแบบนี้หรือเปล่า)

บันไดทางขึ้น จะมีรูปปั้นของ "เทพเจ้าหน่าจา" ซึ่งจะองค์เล็กกว่าที่สร้างใหม่ ด้านหน้าวิหารฯ ซึ่งก็จะมีผู้คนมากราบไหว้สักการะตรงจุดนี้ ก่อนที่จะเข้าชมภายในตัววิหารฯ

รูปนี้ ขณะที่พวกเราเดินชมบริเวณรอบๆตัวอาคารด้านนอกของชั้น 2 มองผ่านไปอีกอาคารหนึ่ง ซึ่งมีรูปปั้นมังกร แล้วเห็นรังต่อ ขนาดใหญ่ เห็นทีแรกตกใจ รีบเดินออกจากตรงนั้น แต่คุณสามีบอกขอถ่ายรูปหน่อย เลยปล่อยให้ถ่ายไปคงเดียวแล้วกัน พวกเราไปก่อนน่ะจ้ะ

พวกเราเดินชมและกราบไหว้ด้านในพระวิหาร ที่มีรูปปั้นเทพเจ้ามากมายของจีน วันนี้เลยได้มีโอกาสให้น้องชาย ได้กราบไหว้ สะเดาะเคราะห์ เพราะน้องชายเกิดปีมะเมีย ซึ่งเป็น 1 ใน 5 ที่ชงกับปีหนู ของปีนี้ ได้มากราบไหว้ที่วัดนี้แล้วรู้สึกดีจังค่ะ เหมือนเรามีบุญที่ได้มา อยู่ใกล้แค่นี้ยังไม่เคยไปวัดนี้มาก่อนเลย ได้ยินแต่ชื่อเสียงของวัดแห่งนี้ค่ะ

photo by MaeJJ

November 20, 2008

เที่ยวบางแสน จังหวัดชลบุรี 1

ชายหาดบางแสน เป็นชายหาดที่มีชื่อเสียง เป็นที่รู้จักในหมู่นักท่องเที่ยวมาช้านาน อยู่ห่างจากตัวเมืองชลบุรีประมาณ 13 กิโลเมตร มีบริเวณหาดทรายยาวประมาณ 2.5 กิโลเมตร กว้าง 50-200 เมตร

ปัจจุบันหาดบางแสนได้รับการปรับปรุงให้มีความเหมาะสมทั้งด้านทัศนียภาพริมหาด, การจัดระเบียบหาด, การรักษาความสะอาด และการควบคุมราคาสินค้าให้ได้มาตราฐาน เพื่อสร้างบรรยากาศการท่องเที่ยว ให้เป็นที่นิยมอย่างไม่เสื่อมคลาย

เดินเล่นขึ้นมาทางตอนเหนือของชายหาด (ทางไปแหลมแท่น) จะเห็นชายหาดที่เงียบสงบ ไม่ค่อยมีผู้คนพลุกพล่านนัก ตรงจุดนี้ไม่มีของขาย ทำให้ดูเป็นมุมเงียบสงบ ชายหาดบางแสนยามบ่ายคล้อย แสงแดดรำไรส่องกระทบผิวน้ำทะเล มองเห็นเป็นระยิบระยับ สวยงามจริงๆ

เดินเล่นกันไปเรื่อยสองคนตายาย ชี้นกชมไม้ จนเราเริ่มจะเมื่อยขาแล้วน่ะเนี้ย แต่คุณสามียังเดินได้สบายบอกแค่นี้ยังไม่เหนื่อยหรอก แต่อิฉันไม่ไหวแล้วพ่อคุ๊ณณณ กลับเถอะ
ทางด้านหาดบางแสนก็จะสามารถมองเห็นแนวหาดบางแสนเป็นแนวยาวสุดสายตา ชายหาดตรงนี้ จัดให้มีแนวสำหรับคนเดิน, ขี่จักรยาน หรือวิ่งจ๊อกกิ้งในยามเช้าได้เป็นอย่างดี มีระเบียบมากขึ้น

" แหลมแท่น" อยู่บริเวณริมสุดของชายหาดบางแสนเลยมาทางเขาสามมุข เป็นจุดพักผ่อน ชมวิวที่สวยงามอีกแห่งหนึ่ง "แหลมแท่น" เป็นแหลมในทะเลที่ยื่นออกไปไม่มากนัก ช่วงค่ำจะมีผู้คนจากที่ต่างๆ ในจังหวัด และที่อื่นๆเข้ามาพักผ่อนกันมาก มีร้านขายอาหารทั้ง ส้มตำ, อาหารทะเล และเครื่องดื่มชนิดต่างๆ

"แหลมแท่น" ในปัจจุบันต่างจากในอดีตมาก มีการจัดแต่งสวยงาม มีการดูแลความสะอาดที่ดี และที่แหลมแท่น ยังเป็นจุดตกปลา และจุดชมวิวที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งเลยทีเดียว

รูปปั้นปลาสองตัว เป็นสัญลักษณ์ตัวแทนของอำเภอบางแสน หรือเปล่าไม่แน่ใจ ที่ตั้งตะหง่านอยู่ด้านหน้าของ แหลมแท่น ด้านบนทั้ง 4 ด้าน จะเขียนคำขวัญและอื่นๆ ของอำเภอบางแสนไว้ด้วย

เอ๊าววว อึ๊บบบ ไหวมั้ยลูก ท่าจะหนักเอาเรื่องน่ะลูกน่ะ ...แม่เอาใจช่วยแล้วกันจ้ะ

เรายังสามารถมองจากที่นี่ขึ้นไปยัง "เขาสามมุข"ได้ โดยจะเห็นเขาทั้งลูกตั้งตระหง่านเลยอยู่เบื้องหน้าเลยทีเดียว

ออกจากแหลมแท่น ขับรถตามถนนเลาะชายทะไปเรื่อยๆ เลยขึ้นไปบน "เขาสามมุข" ไปดูลิง แต่พอขึ้นไป เห็นลิงแย่งกันกินอาหารที่คนซื้อมาให้ เกิดอาการกลัวกันทั้งหมด ไอ้ที่กลัวน่ะไม่ใช่อะไร คุณสามีบอกว่า ถ้าลิงกัดหรือข่วนเป็นแผล ต้องรีบไปฉีดยา"บาดทะยัก" ทันที เพราะลิงมีเชื้อ "อีโบร่า" หรืองัยเนี้ย เลยกลัวกันใหญ่เลย เวลาให้อาหารเลยต้องให้ในรถ

เจ้าตัวนี้ทำตัวเป็นนักเลงขาใหญ่ เที่ยวไล่กัด ตัวอื่นที่มีอาหาร เพื่อตัวเองจะได้กินคนเดียว ไล่เค้าไปกันหมด ตัวเองเลยมานั่งตั้งท่าซะเก๋ไก๋ เชอะ เชอะ ...เรื่องอะไรฉันจะให้นาย เพราะนายทำให้พวกฉันกลัว ฉันเลยไม่ให้กล้วยนาย เชอะ เชอะ ทำเก่งอดไปเลยนั่นนนน ฮ่าๆๆๆ (ตกลงจะมาทำบุญหรือจะมาทำร้ายลิงหว่าเรา) แต่ไม่ถึงกะใจร้ายไม่ให้กล้วยลิงหรอกน่ะ พวกเราเอาไปให้ลิงตัวเล็กๆ ที่ไม่เกเรน่ะ อย่างเจ้าลิงตัวบนนั่นงัย

ตรงนี้จะเป็นบริเวณทางตอนใต้ของชายหาดบางแสน ที่เค้าเรียกว่า "หาดวอน" ขับรถไปจนเกือบสุดถนน จะมีสถานที่พักผ่อนเช่นกัน และถัดไปยังเป็น สะพานปลา สำหรับให้ชาวประมงใช้เป็นที่จอดเรือประมงเพื่อขนถ่ายอาหารทะเล เช่น กุ้ง หอย ปู ปลา ที่จับหากันมาได้ และยังมีพ่อค้า-แม่ค้า หรือร้านอาหาร ก็จะซื้ออาหารทะเลจากที่นี่ เพื่อนำไปขายเช่นกันค่ะ

ริมชายหาด ตรงนี้ จะเป็นบ้านพักของชาวประมงทั้งหลาย

เที่ยวเสร็จ ก็ได้เวลาอาหารกลางวันพอดี ขับรถกลับมาจอดที่ชายหาด ล๊อคที่น้องสะใภ้ขายของอยู่ แล้วก็สั่งอาหารมากินกัน แล้วนอนเล่นกันชายหาดจนเย็นแล้วค่อยกลับเข้าที่พัก สั่ง "ยำมะม่วง" มากินก่อนเลย

ตามด้วย "ข้าวผัดปู" ของโปรดลูกชาย อาหารที่นี่ติหน่อยหนึ่ง ชอบแก่หวาน เวลากินข้าวผัดจานนี้เลย ต้องกระแทกน้ำปลาลงไปอีก แต่ก็ผัดได้อร่อยเหมือนกัน

" ส้มตำไทย" ของลูกสาว แต่พอสั่งมาดันกินนิดเดียว สงสัยจะเหนื่อยเลยกินน้อย

" ปูม้านึ่ง" สด รสหวานอร่อย น้ำจิ้มรสเด็ด แซ่บถูกใจ เพราะเป็นฝีมือน้องสะใภ้เราเอง

จานนี้ "พล่าปลา" ดันลืมชื่อปลาไปอีกแระ เนื้อปลาเหมือนปลาอินทรีย์ รสนุ่ม อร่อยดีเหมือนกัน ปลานี่ไม่เคยกินมาก่อน แถมชื่อก็เพิ่งได้ยิน ถึงจำไม่ได้ อิอิอิ

ผลไม้ หวาน เย็น ฉ่ำ ถูกใจ สามีชอบแตงโมบอกหวานดีจัง


สับประรดก็หวานชื่นใจเช่นกัน

เที่ยวบางแสน จังหวัดชลบุรี 2

อยู่ค้างที่บางแสน 2 คืน แค่ 2 คืนลูกๆยังบอกไม่พอ อยากอยู่นาน ไม่รู้ติดใจอะไร หรือเป็นเพราะเค้าไม่ค่อยได้เจอน้าโนด น้ารีย์ พี่เมย์ และพี่มินท์ กันมานาน พอเจอกันเลยอยากอยู่หลายวันให้หายคิดถึง อีกอย่างทั้งลูกๆทั้งสองคน ไม่เคยนั่งซ้อนมอเตอร์ไซด์ วันนั้น ทั้ง"น้ารีย์และพี่เมย์" พาขี่มอเตอร์ไซด์ เที่ยวกันสนุกไปเลย เลยติดใจอยากอยู่อีกหล่ะมั้ง แต่ไม่สามารถอยู่นานกว่านี้ ต้องกลับมาทำงานต่อ เลยบอกลูกว่าเอาไว้ก่อนกลับสิงค์โปร์เราจะแวะมาเที่ยวหรือพักกันใหม่

คืนแรกไปพักบ้านพัก ไม่ค่อยจะถูกใจนัก เพราะเป้นเพียงห้องพักเล็กๆ เท่านั้น แต่สามารถพักได้ 4 คนเพราะเป็นเตียงใหญ่ 2 เตียง มีแอร์ (ซึ่งจริงก็ไม่ได้อยากได้แอร์ เพราะอากาศเย็นสบาย)แต่เนื่องจากขี้เกียจไปหาที่อื่นแล้ว ก็เลยตกลงใจพักที่ห้องพักนี้ คืนละ 800 บาท


พอตอนเข้า ก็ค่อยขับรถหาที่พักใหม่ ก็ไปเจอรีสอร์ท เล็กๆน่ารัก ซึ่งความจริงแล้ว รีสอร์ทแห่งนี้ อยู่ในซอยแถวบ้านที่น้องชายเช่าอยู่ แต่ด้วยความที่ลืมไป เลยไม่ได้คิดจะแนะนำเราไปพักที่นั่น พอตอนเช้า พูดเรืองที่พัก น้องสะใภ้เลยรีบขับรถไปดูให้ แล้วเจอที่พักนี่ สวยถูกใจ บริการน่ารัก แถมราคาถูกกว่าห้องที่พักคืนแรกอีกด้วย นั่นคือ "บางแสนคลาสสิครีสอร์ท - BangSaen Classic Resort" อยู่ในซอย 2 (เค้าเรียกถนนอะไรหว่าลืมไปแล้ว) รู้แต่ว่าซอยนี้ อยู่ตรงข้ามกับสถานีตำรวจแสนสุขนะคะ ขับเข้ามาประมาณ 500 เมตร จะเห็นป้ายบอกทาง ให้เลี้ยวขวาเข้ามา แล้วก็จะเจอป้ายนี้อย่างเห็นได้ชัดเลยหล่ะค่ะ ไม่มีทางเลย หรือหลงแน่นอน

เข้ามาแล้วก็จะเจอสำนักงานของรีสอร์ท เพื่อติดต่อสอบถามห้องพัก ที่นี่ถ้ามาวันธรรมดา ห้องพักจะว่างจึงไม่ต้องจอง ส่วนราคาวันจันทร์-วันพฤหัสฯ จะถูกกว่าวันศุกร์-อาทิตย์ ที่พักนี่จะค่อนข้างเงียบหน่อย เพราะอยู่ไกลจากตัวเมือง หรือตัวชายหาด แต่ก็ไม่ไกลเกินไป จากรีสอร์ท เดินออกมาปากซอย แล้วนั่งสองแถวเข้าตลาด ก็สะดวกค่ะ

ด้านข้างของสำนักงาน

บ้านพักแบบเรือนทรงไทย ก็มีให้เลือก ตอนเข้ามาดูทีแรก ชอบมากค่ะ กะว่าจะเช่าเรือนทรงไทยนี่แหละ แต่ติดตรงที่ว่าพัก 4 คนไม่ได้ เพราะหลังนี้ สำหรับพัก 2 คน ลูกๆก็อยากให้เช่าเรือนไทย แต่ต้องเช่า 2 หลังๆละ 700 เลยไม่เอาดีกว่า เพราะเราเช่าห้องใหญ่ พักได้ 4 คน (เสริมที่นอน) ราคาก็ 700 เหมือนกัน เราเลยพักที่ห้องใหญ่ สามารถจอดรถได้ที่หน้าห้องเลย ภายในห้องพัก กว้างขวางเหมือนกัน ถ้ามาแบบบ้านนอกๆหน่อยน่ะ ก็คงได้ 5-6 คนเลยแหล่ะ สามารถปูเสื่อนอนกับพื้นได้อีก 3-4 คนเลยทีเดียว

เตียงเป็นคิงส์ไซด์ นอนได้สามคนเลย ส่วนลูกชายนอนโซฟา อิอิอิ เพราะเค้าให้ที่นอนเสริม ทีแรก ตอนเค้าบอกเสริมที่นอนให้ เราก็นึกว่าจะเป็นฟูกเล็กๆ ที่ไหนได้ เป็นแค่เสื่อปิกนิค ที่ด้านหนึ่งหุ้มผ้านุ่มๆไว้ แล้วปูนอนกะพื้น ซึ่งแข็งมาก แล้วตอนกลางคืนอากาศมันเย็นด้วย เจ้าลูกชายนอนไม่ได้เลยขึ้นไปนอนบนโซฟา ซึ่งโซฟาก็ตัวเล็กๆ ส่วนตัวลูกชายขายาวเกินมาครึ่ง ฮ่าๆๆๆ

มีทีวี -เคเบิลทีวี ให้ชม มีโต๊ะกระจกด้วย

มีโต๊ะ เก้าอี้ สำหรับนั่งรับประทานอาหาร จัดไว้ภายในห้อง 1 ชุด

มีโซฟา (ตัวนี้แหละที่ลูกชายนอน) มีตู้เย็นและตู้เสื้อผ้า

ห้องน้ำสะอาดสะอ้านดี และที่สำคัณมีน้ำอุ่นให้ด้วยแหละ (อ้อ ลืมบอกไปว่า ที่บ้านพักคืนแรกไม่มีน้ำอุ่นให้ แหมมม หว่าจะอาบน้ำกันได้ ต้องร่ายเวทมนต์กันนานเลย ฮ่าๆๆๆ)

มาดูบริเวณรอบๆกันบ้าง เดินไปด้านหลังของรีสอร์ท มีป้ายบอก "มุมกาแฟ"เค้าจะจัดมุมกาแฟ ไว้ด้านหลังของรีสอร์ท ผู้ที่มาพักที่นี่ สามารถชงเครื่องดื่มกันเองได้ที่นี่ ทางรีสอร์ทเค้าจัดไว้ให้ ซึ่งจะมีกาแฟ โอวัลตินไว้ให้น่ะค่ะ ส่วนตอนเช้า จะมี ขนมปังกรอบหรือคุกกี้จัดวางไว้ให้เช่นกันค่ะ

จัดซุ้มกาแฟได้น่ารักจริงๆ เป็นธรรมชาติดี เหมือนนั่งดื่มกาแฟในสวนหลังบ้านยังงัยยังงั้นเลยหล่ะค่ะ ตามเรามากินกาแฟกันเลยค่ะ เค้ามีให้ฟรี!

อ้าวววว คนชงกาแฟ อยู่นี่เอง แหมมม พอบอกว่าที่นี่มี "มุมกาแฟ" ไว้ให้แถมฟรีด้วย ถูกใจมากซีน่ะ รีบมาชงก่อนใครเลยเชียว งานนี้คุณสามีชอบใจ ถ้าที่ไหนมีกาแฟบริการตลอด 24 ชม พี่แกไม่ไปไหนก็ได้ เพราะมีกาแฟให้กินบ่อยๆ

เที่ยวบางแสน จังหวัดชลบุรี 3

วัดแสนสุขสุทธิวราราม หรือมีอีกชื่อว่า "วังแสนสุข" อยู่ห่างจากชายหาดบางแสนประมาณ 1 กม. มีพื้นที่ 32 ไร่ จัดสร้างโดยมูลนิธิหลวงพ่อเณรน้อยโพธิสัตโต มีประติมากรรมปูนปั้นขนาดใหญ่ที่น่าตื่นตาตื่นใจ บางชิ้นแฝงไว้ด้วยอารมณ์ขัน เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจให้คนตั้งมั่นในศีลธรรม และความดีงาม การเข้าชมไม่เสียค่าบริการ แต่ภายในมีตู้รับบริจาคสำหรับผู้มีจิตศรัทธา พื้นที่แบ่งเป็นส่วนต่างๆ เช่น แดนนรก, เมืองสวรรค์, สวนพุทธ

ศาลเจ้าแม่กวนอิม
"เมืองสวรรค์" เป็นเทพเจ้าตามลัทธิศาสนาต่างๆเช่น กำเนิดพระเยซู, เจ้าแม่กวนอิม, เทพแห่งศาสนาพราหมณ์, 18 อรหันต์ เป็นต้น เป็นส่วนที่มีแต่ความสวยงาม สร้างความรู้สึกให้คนอยากทำดีเพื่อมาพบสิ่งเหล่านั้น ซึ่งตรงข้ามแดนนรกอย่างสิ้นเชิง

"สวนพุทธ" ทำเป็นตอนพระพุทธเจ้าประสูติ, ตรัสรู้, ปรินิพพาน

"แดนนรก" ทำเป็นรูปเปรตอสูรกายขนาดสูงใหญ่ รูปปั้นการลงโทษแบบต่างๆเมื่อคนทำชั่วตกนรก เช่น ตีพ่อแม่ก็จะได้รับผลกรรมมือเท่าใบลาน, โกหกเก่งก็ถูกตีปาก, ทำชั่วแบบขึ้นต้นงิ้วมีอีกา หมาไนมาคอยไล่กัดกิน เมื่อดูแล้วก็จะรู้สึกไม่อยากทำบาป

"เต่า 10,000 ปี" เป็นเต่าที่จะอยู่บริเวณทางออกจากแดนนรก นักท่องเที่ยวส่วนมากเชื่อว่า ก่อนจะออกจากแดนนรกควรที่จะบริจาค หรือทำทานให้กับชีวิตด้วยการโยนเงินให้เต่า ซึ่งเป็นสัตว์ที่มีอายุยืนเป็นเคล็ดให้ตัวเอง พวกเราเดินถึงตรงนี้ ก็ไม่รู้อะไรหรอก แต่เห็นเหรียญมากมายอยู่ในนั้น ลูกๆก็อยากจะโยนลงไปมั่ง เลยได้ทำตามที่เค้าโยนกันลงไปน่ะ

ก่อนจะไปถึงสุสานเต่าฯ แวะมาให้อาหารเต่าจริงๆ กันก่อน ที่สระแห่งนี้ มีทั้งปลา และเต่ามากมาย เต่าพวกนี้ไม่กลัวคนด้วย พอเห็นอาหารที่จะยื่นให้ เค้าก็โผล่หัวขึ้นมากินอาหารเลยหล่ะค่ะ แต่คนให้ก็กลัวเต่ากัดนิ้วเหมือนกัน โบราณว่า ฟันเต่าคมมาก เวลากัดนิ้วถึงกับขาดเลยเชียวหล่ะ (จำแม่บอกมาสมัยเด็ก อิอิอิ)

ทั้งเต่า ทั้งปลา มากันมากมายเลย ดูตัวนั้นดิ อ้าปากเข้ามารอเลย ..ระวังนิ้วน่ะเฮีย...


ขอบคุณข้อมูล จาก เทศบาลเมืองแสนสุข

November 19, 2008

เที่ยวตลาดคลองสวน 100 ปี จังหวัดสมุทรปราการ

ออกจากวัดหลวงพ่อโสธร ก็มาแวะตลาดคลองสวน 100 ปีกันค่ะ เป็นตลาดที่ชาวบ้านในแถบนั้นอนุรักษณ์ความเก่าแก่และมีคุณค่าไว้ให้พวกเราและรุ่นลูกหลานได้เห็นกัน ใช้เวลาจากวัดหลวงพ่อฯ ไม่ถึง 1/2 ชม ก็มาถึง ตลาดคลองสวน 100 ปี

ด้านหน้าของตลาดมีที่จอดกว้างขวาง จอดได้มากมาย พอดีเรามากันเป็นวันธรรมดา และเป้นเวลาประมาณ 11 โมงเช้าเลยไม่ค่อยมีคนเท่าไหร่ แถมร้านค้าบางร้านก็ยังไม่เปิด อาจจะเปิดสายหรือบางร้านอาจจะเปิดเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ เพราะช่วงนั้นผู้คนคงเยอะและขายของได้ดีกว่าวันธรรมดา มาเที่ยววันธรรมดาก็ดีไปอย่างน่ะค่ะ ไม่ต้องเบียดกับผู้คนมากมาย เดินดูอะไรง่ายและสะดวกดี เวลาจะทานอาหารก็ไม่ต้องรอคิวนาน แถมอากาศก็ไม่ร้อนด้วยค่ะ




วิถีชิวิต ความเป็นอยู่แบบเรียบง่ายของชาวบ้านคลองสวน เงียบสงบ ไม่วุ่นวาย มีอะไรก็ทำกันไป แม่ต้าขายข้าวแกง ขายขนมไทย ขนมผัก ขายปลา ประทังชีวิตของพวกเค้าได้เป็นอย่างดี อยากให้บ้านเมืองเราอนุรักษณ์สิ่งดีๆ แบบนี้ไว้ให้ลูกหลานรุ่นหลังได้เห็นกันต่อไปด้วยนะคะ

บ้านเรือนยังคงสภาพเดิม ไม่มีใครคิดจะสร้างใหม่หรือปรับปรุงให้เป็นของสมัยใหม่ ยังคงความเก่าและโบราณไว้เสมอ เห็นแล้วชื่มชมชาวบ้านคลองสวน ที่อนุรักษณ์สิ่งพวกนี้ไว้ให้พวกเราได้ดูได้เห็นกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่หาดูยากขึ้นทุกวันค่ะ

บ้านเรือน ที่อยู่อาศัย ก็จัดเป็นร้านอาหารริมคลองกันไป ทำให้ได้บรรยากาศริมคลองได้เป็นอย่างดี ถ้าน้ำในคลองจะไม่เหม็นเน่า เหมือนในคลองที่ กทม บางแห่ง ...จากเท่าที่สังเกตุ แม่น้ำ ลำคลองที่นี่ดูสะอาดตาดี แสดงว่าชาวบ้านที่นั่นคงช่วยกันดูแลและทำความสะอาด เพื่อไม่ให้เกิดเหม็นเน่าตามมา แบบนี้ก็น่ารักดีน่ะ ไม่รู้ใน กทม จะมีแม่ค้า หรือชาวบ้าน ช่วยกันได้แบบนี้มั้ยเหนอ

ถ่ายมองเห็นสะพานข้ามคลอง โห้...ทำไมมันสูงขนาดนั้น เดาเอาว่าเหตุที่ต้องทำสะพานสูงๆแบบนี้ เพราะเวลาที่น้ำในคลองขึ้นสูง การจราจรทางเรือ หรือการขนส่งทางเรือ จะมีปัญหา ลอดผ่านสะพานไม่ได้ เลยต้องทำให้สูงไว้ก่อน เพื่อความสะดวกในการลอดผ่านไปมาน่ะค่ะ

สะพานข้ามคลอง ที่เป็นตัวเชื่อมระหว่างเพื่อนบ้านคนละฝากคลอง เดี๋ยวนี้จะหาดูแบบนี้ได้ยากเช่นกัน เพราะสมัยนี้สร้างเป้นสะพานคอนกรีตกันไปซะหมด อาจจะเป็นเพราะต้องการคววามทนทานและแข็งแรงในการใช้งาน สามีเราเห็นสะพานแบบนี้ รีบคว้ากล้องไปถ่ายใหญ่ ไม่รู้ได้ลองขึ้นไปเดินดูหรือเปล่า พอดีตอนเค้าถ่ายเรากะลูกเดินไปดูของกัน

ร้านตัดผม สมัยเราเด็กจะเห็นร้านตัดผมแบบนี้ในตลาดบ้านนอกเหมือนกัน เดี๋ยวนี้หาดูได้ยากมาก เก้าตัดผมแบบนี้ ไม่ค่อยมีให้เห็นมากนัก ร้านก็คงความเดิมไว้มากเลย

ภายในตลาด แวะร้านนี้เพราะเค้ามีของที่ขายสมันที่เราเป็นเด็ก เช่น ของเล่น จั๊กจั่น ของเล่นพวกเกมส์ น้ำเต้า และอื่นๆมากมาย รวมทั้งขนม ลูกอมตึ๋งหนืด (เคยกินมั้ยลูกอมตึ๋งหนืด ที่ห่อกระดาษย่นสีๆ แกะแล้วมือจะเป้นสีแดง สีเหลืองน่ะ) ยังมีของใช้อื่นอีกเยอะแยะ

ร้านค้า ในตลาด มีขายทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นขนมไทยโบราณ หาได้จากตลอดฯแห่งนี้ค่ะ อาชีพที่ทำกันมาตั้งแต่ปู่ย่า ตายาย ลูกหลายสืบทอดกันไปเรื่อยๆ ขอให้เด็กรุ่นใหม่พยายามสืบสานตำนานความดั้งเดิมท่านผู้ใหญ่ของท่าน เอาไว้อย่างนี้ตราบนานเท่านานน่ะค่ะ อย่าได้ลืมหรือละลทิ้งสิ่งดีๆเหล่านี้ไปซะหล่ะค่ะ

ก่อนจะกลับแวะทานก๋วยเตี๋ยวตรงท้ายตลาด อร่อยเด็ดจริงๆ รวม"ปูจ้อ" พอสั่งแล้วทอดให้เลย ก็อร่อยไม่แพ้กันค่ะ ...พออิ่มแล้ว ก็เตรียมตัวเดินทางไปบางแสนกันต่อค่ะ